แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เตือนภัย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เตือนภัย แสดงบทความทั้งหมด

เตือนภัยร้ายใกล้ตัวจากการเล่น SmartPhone จนเกินพอดี

ในยุคนี้สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ Smart Phone คู่ใจ ซึ่งไม่ว่าจะไปไหนทำอะไรก็ต้องพกมือถือไปด้วยไม่ว่าจะเล่นเกมส์ทำงาน หรือแม้กระทั่งเข้าห้องน้ำ กินข้าวก็ต้องเล่น Smart Phone อยู่ตลอดเวลาซึ่ง สิ่งนี้แหละที่จะทำอันตรายตัวสุขภาพของคนเรา โดยมีผลกระทบโดยตรวก็เป็นที่ดวงตาของเรานั้นเอง เป็นผลมาจากแสงสีฟ้า

แสงสีฟ้า คืออะไร?  แสงที่ผสมอยู่กับแสงสีขาวที่ดวงตาของเรามองเห็น แสงสีฟ้าเป็น แสงพลังงานสูง โดยแสงสีฟ้านั้นมีอยู่รอบตัวเรา ทั้งจากแสงแดด หลอดไฟฟลูออเรสเซนส์ แต่ที่พบมากที่สุดคือ หน้าจอคอมพิวเตอร์ มือถือ สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต ที่เราใช้กันอย่างมากอยู่ทุกวันนั้นเอง

แสงสีฟ้ามีอันตรายอย่างไรแน่? จากงานวิจัยทางการแพทย์พบว่า แสงสีฟ้า (Blue Light) นั้นมีพลังงานมากพอที่จะทำให้เกิดสารอนุมูล อิสระภายในลูกตาซึ่งจะทำให้เซลล์ประสาทตาตายได้ และก่อให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม และที่ สำคัญโรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายได้อีกด้วยนะครับ

ทำอย่างไรให้ห่างไกลแสงสีฟ้า รู้ถึงอันตรายขนาดนี้แล้วเราควรปรับเปลี่ยนการใช้งานสมาร์ทโฟนให้ถูกวิธี อย่าลืมดูแลรักษาดวงตาด้วยการพักสายตาทุก 15-60 นาที และการติดฟิล์มกันรอยที่มีคุณภาพดีเพื่อช่วยกรองแสงสีฟ้าจากหน้าจอได้ดีพอสมควร  ช่วยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และช่วยบำรุงสายตา เราจะได้มีดวงตาที่สดใสแข็งแรงอยู่เสมอนะครับ  รู้ถึงอันตรายของแสงสีฟ้าแล้วอย่าลืมดูแลตัวเองให้ปลอดภัยและห่างไกลจากแสงสีฟ้ากันนะครับ เพื่อสุขภาพของตัวคุณเอง

สาธารณสุข. เตือนภัยผู้สูงอายุเสี่ยงดื่มเครื่องดื่ม4 ชนิด ช่วงอากาศร้อนเน้นย้ำลูกหลานควรเพิ่มการเอาใจใส่

สาธารณสุข ย้ำเตือนช่วงอากาศร้อน ผู้สูงอายุมีโอกาสเสี่ยงเกิดความเจ็บป่วยลมแดด มีผลร้ายถึงชีวิต ขอให้บุตรหลานเพิ่มความดูแลเป็นพิเศษ โดยเฉพาะผู้อาวุโสที่มีโรคเรื้อรัง ให้จิบน้ำเปล่าบ่อยๆ แนะหลีกเลี่ยงดื่มเครื่องดื่ม 4 ชนิดที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม เนื่องจากจะทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ง่ายขึ้น นายแพทย์สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในเดือนเมษายนทุกปี นอกจากจะเป็นวันสงกรานต์แล้ว ยังเป็นวันผู้สูงอายุแห่งชาติอีกด้วย ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตดี อยู่ในครอบครัวและชุมชนอย่างมีความสุข ข้อมูลของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดลล่าสุดในปี 2557 ไทยมีผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปประมาณ 10 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ15 ของประชากรทั้งหมด โดยจำนวนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงที่สภาพอากาศร้อนอบอ้าว ขอให้ลูกหลาน ผู้ดูแล หรือญาติ ใส่ใจดูแลผู้สูงอายุเป็นพิเศษ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีโรคเรื้อรัง พิการ หรือช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ควรดูแลระบบการระบายอากาศภายในบ้านที่เหมาะสม เช่น พัดลม พัดลมระบายอากาศ หรือเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น และสังเกตอาการผิดปกติของผู้สูงอายุเป็นพิเศษ โดยโรคที่อาจเกิดกับผู้สูงอายุในช่วงอากาศร้อนได้คือโรคลมแดด หรือโรคฮีทสโตรก(Heat Stroke) แม้ว่าโรคนี้พบได้ไม่บ่อย แต่เมื่อเป็นแล้ว มักรุนแรงถึงขั้นดับชีพได้ ในการคุ้มกัน ควรหลีกเลี่ยงให้ผู้สูงอายุอยู่ในที่มีความร้อนสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน ให้สวมเสื้อผ้าสีอ่อน ไม่หนา น้ำหนักเบา ระบายความร้อนได้ดี ให้จิบน้ำเปล่าทีละน้อยแต่บ่อยๆ รวมแล้วให้ได้ 6-8 แก้วต่อวัน ประการสำคัญ ในสภาวะอากาศร้อนผู้สูงอายุไม่ควรปล่อยให้ตนเองรู้สึกกระหายน้ำเป็นเวลานานเป็นอันขาด จะต้องดื่มน้ำเพิ่มเติมทันที เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการร่างกาย กรณีที่เดินทางขอให้พกน้ำสะอาดติดตัวไปด้วยเพื่อใช้จิบระหว่างทาง “เครื่องดื่มคลายร้อนที่ผู้สูงอายุไม่ควรดื่มเพราะจะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำได้มี 4 ชนิด ได้แก่น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน โดยสารคาเฟอีนและแอลกอฮอล์จะไปกระตุ้นไห้ไตขับน้ำออกจากร่างกายมากกว่าน้ำที่ดื่มเข้าไป ทำให้ปัสสาวะบ่อยและสูญเสียน้ำ ร่างกายจะยิ่งขาดน้ำรุนแรงขึ้นไปอีก” นายแพทย์สมศักดิ์กล่าว นายแพทย์สมศักดิ์กล่าวต่อว่า ผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงเป็นโรคลมแดด ได้แก่ ผู้ที่มีโรคเรื้อรังประจำตัว เช่นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เบาหวาน เป็นต้น สัญญาณอาการเฉพาะที่สังเกตได้ง่าย คือ อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น ตัวร้อนจัดขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่มีเหงื่อออก รู้สึกกระหายน้ำมาก วิงเวียน ปวดศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ หายใจเร็ว อาเจียน อาการจะแตกต่างจากอาการเพลียแดดทั่วไปซึ่งมักจะมีเหงื่อออกด้วย หากพบผู้สูงอายุเป็นโรคลมแดด การช่วยเหลือเบื้องต้นขอให้นำตัวเข้าไปในที่ร่ม คลายเสื้อผ้าให้หลวม แล้วเปิดพัดลมโกรกหรือเครื่องปรับอากาศ และใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำธรรมดาเช็ดตามร่างกายให้ทั่ว หรือใช้น้ำเย็นหรือน้ำธรรมดาราดลงบนแขนขาไปเรื่อยๆ เพื่อช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกาย แล้วช่วยบีบนวดกระตุ้นการไหลเวียนเลือดกลับเข้าสู่หัวใจ ไม่แนะนำให้นำผ้าเปียกห่มทับบนตัวผู้ป่วยเนื่องจากจะขัดขวางการระเหยของเหงื่อได้ช้าลง หากเป็นไปได้ให้ใช้ปรอทวัดไข้วัดอุณหภูมิร่างกายเป็นพักๆ หากอุณหภูมิลดลงถึง 38-39 องศาเซลเซียส ให้ค่อยๆ ชะลอการเช็ดตัวด้วยน้ำเย็น หากผู้ป่วยมีสติแล้วให้ดื่มน้ำธรรมดาหรือน้ำเย็นเป็นระยะๆ หากยังไม่ดีขึ้นให้โทรแจ้งหน่วยแพทย์กู้ชีพหมายเลข 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง