กรมอนามัย รณรงค์ล้างตลาดและล้างส้วม สกัดโรค ในช่วงสงกรานต์นี้

กรมอนามัย รณรงค์ล้างตลาด และล้างส้วมสาธารณะ เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อโรค ลดการเจ็บป่วย ช่วยผู้บริโภคมีสุขภาพและสร้างสุขอนามัยที่ดี
         วันนี้ (10 เมษายน 2558) นายพิษณุ  แสนประเสริฐ  รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดกิจกรรมรณรงค์ล้างตลาดและส้วมพร้อมกัน...รับวันสงกรานต์ ณ ตลาดเจ้าพรหม อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ว่า รัฐบาลได้กำหนดให้ปี 2558 เป็นปีการท่องเที่ยววิถีไทย ซึ่งในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติ เดินทางไปท่องเที่ยวในพื้นที่ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดไม่ต่ำกว่า 3 ล้านคน เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค ลดการเจ็บป่วย   ให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวอย่างมีความสุข กรมอนามัยได้ร่วมมือกับภาคีทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน รณรงค์ล้างตลาดและล้างส้วมสาธารณะ สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในช่วงหน้าร้อนที่มักป่วยด้วยโรคที่เกิดจากอาหารและน้ำเป็นสื่อ อาทิ อุจจาระร่วง อาหารเป็นพิษ อหิวาตกโรค บิดและไข้ไทฟอยด์ เป็นต้น โดยเฉพาะโรคอุจจาระร่วงมีแนวโน้มสูงขึ้น ทั้งนี้ ตลาดสดเป็นแหล่งที่มีความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรค เนื่องจากเป็นจุดรวมในการจับจ่ายสินค้าอาหารของประชาชนผู้บริโภค ในช่วงหน้าร้อนที่มักเกิดโรคระบาดได้ง่าย ผู้ประกอบการควรมีการล้างตลาดตามหลักสุขาภิบาลอย่างน้อยเดือนละครั้ง หรือหากอยู่ในช่วงที่มีการระบาดของโรคควรล้างตลาดเดือนละ 2-3 ครั้ง โดยเน้น 3 จุดสำคัญ ได้แก่ พื้น เขียง แผง เพราะเป็นจุดที่อยู่ใกล้ชิดและสัมผัสอาหารมากที่สุด จึงเป็นเส้นทางผ่านเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ ซึ่งการล้างตลาดที่ถูกหลักสุขาภิบาลมี 2 ขั้นตอนสำคัญ คือ ขั้นที่ 1 การล้างด้วยน้ำและผงซักฟอกเพื่อกำจัดคราบสกปรก และขั้นที่ 2 การฆ่าเชื้อโรคโดยใช้น้ำผสมผงปูนคลอรีนใส่ลงในฝักบัวรดน้ำ และรดบริเวณพื้นทางเดิน เขียง แผง ทางระบายน้ำเสียให้ทั่ว จากนั้นปล่อยทิ้งไว้เพื่อให้คลอรีนฆ่าเชื้อโรคและกำจัดกลิ่น ส่วนบริเวณที่มีกลิ่นคาว ให้ใช้หัวน้ำส้มสายชูผสมน้ำให้เจือจางราดบริเวณที่มีกลิ่นคาว แล้วล้างด้วยน้ำเพื่อทำความสะอาด
          นายพิษณุ กล่าวต่อไปว่า สำหรับส้วมสาธารณะเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ต้องเฝ้าระวังความสะอาดโดยเฉพาะ 6 จุดเสี่ยง ได้แก่ 1) สายฉีดน้ำชำระ 2) พื้นห้องส้วม 3) ที่รองนั่งส้วมแบบนั่งราบ 4) ที่กดน้ำ 5) ก๊อกน้ำ และ 6) กลอนประตู ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ เช่น ท้องเสีย อุจจาระร่วง บิด ไทฟอยด์ ไวรัสตับอักเสบชนิดเอ ที่สามารถติดต่อจากการสัมผัสสิ่งขับถ่ายที่ปนเปื้อนเชื้อโรค    จึงต้องมีการทำความสะอาดเป็นประจำ โดยเฉพาะบริเวณห้องน้ำ ห้องส้วม อ่างล้างมือ ที่ปัสสาวะ ก๊อกน้ำต้องทำความสะอาดโดยใช้น้ำยาทำความสะอาดหรือผงซักฟอกช่วยและล้างด้วยน้ำสะอาด จะเป็นการลดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายโรคและขณะเดียวกัน ผู้ใช้บริการควรมีพฤติกรรมการใช้ส้วมสาธารณะอย่างถูกต้อง คือ 1) ไม่ขึ้นไปเหยียบบนโถส้วมแบบนั่งราบ 2) ไม่ทิ้งวัสดุอื่นใดนอกจากกระดาษชำระลงโถส้วม 3) ราดน้ำหรือกดชักโครกทุกครั้งหลังการใช้ส้วม และ 4) ล้างมือด้วยสบู่และน้ำให้สะอาดทุกครั้งหลังใช้ส้วมเพื่อช่วยกันดูแลรักษาความสะอาดของส้วมในสถานบริการและลดจุดเสี่ยงของการเป็นแหล่งแพร่ระบาดของโรคในช่วงหน้า
 
        “ทั้งนี้ การดำเนินงานพัฒนาตลาดสดน่าซื้อและพัฒนาส้วมสาธารณะที่ผ่านมา ศูนย์อนามัยที่ 1 ร่วมกับภาคีเครือข่ายดำเนินการอย่างต่อเนื่องตามนโยบายกรมอนามัยในการดำเนินงานพัฒนาตลาดสดน่าซื้อ โดยปัจจุบันมีตลาดสดน่าซื้อในระดับดีและดีมาก จำนวน 55 แห่ง จากจำนวนตลาดสดประเภทที่ 1 ทั้งหมด 60 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 91.7 และยังมีตลาดอีก 5 แห่ง ที่ยังไม่ผ่านเกณฑ์ จึงต้องเร่งให้มีการพัฒนาตามแผนบูรณาการอาหารปลอดภัยของจังหวัด รวมถึงการพัฒนายกระดับตลาดสดประเภทที่ 2     ให้เป็นตลาดนัดน่าซื้อต้นแบบ อีกจำนวน 15 แห่ง อีกด้วย สำหรับผลการดำเนินงานพัฒนาส้วมสาธารณะในพื้นที่เขต 1              ทั้ง 12 ประเภท ได้แก่ สถานศึกษา สถานที่ราชการ โรงพยาบาล ศาสนสถาน สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง ท่องเที่ยว สวนสาธารณะ ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า สถานีขนส่งทางบกทางอากาศ ส้วมสาธารณะริมทาง ร้านจำหน่ายอาหารและตลาดสด ผ่านเกณฑ์ HAS ร้อยละ 69.82 ขณะเดียวกัน ระหว่างปี 2549-2557 ยังได้รับรางวัลสุดยอดส้วมระดับประเทศ ถึงจำนวน 21 แห่ง อาทิ ว้ดท่าการ้อง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โรงเรียนวัดใหญ่ชัยมงคล (ภาวนารังสี) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และตลาดกลางบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี เป็นต้น และในปีที่ผ่านมาได้รับรางวัลสุดยอดส้วมระดับเขต จำนวน 12 แห่ง อาทิ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลลาดงา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โรงเรียนไตรราชวิทยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วัดชลประทานรังสฤษดิ์ จังหวัดนนทบุรี ตลาดสดรวมใจ จังหวัดนนทบุรี เทศบาลตำบลบางจัก จังหวัดอ่างทอง โรงเรียนวัดสุวรรณราชหงษ์ จังหวัดอ่างทอง และศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) เป็นต้น” รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด